วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

>>> Mangosteen / มังคุด



เนื้อมังคุดจะมีเนื้อนุ่มสีขาวมีรสอร่อยหวานอมเปรี้ยว ซึ่งประกอบด้วยสารอาหาร วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก และยังได้กากใยจากเนื้อของมังคุดที่ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย


ประโยชน์ของมังคุดมิได้มีอยู่แค่เนื้อในของมังคุดที่เราใช้เป็นอาหารเท่านั้น เปลือกของมังคุดมีประโยชน์ในทางการแพทย์ซึ่งนิยมใช้กันตามภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหายเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่างทับทิม โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดมีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสตินมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง สารแซนโทนในเปลือก

มังคุดยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลากได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า สารแมงโกสตีนนี้มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ ซึ่งก่อให้เกิดมีประโยชน์ในด้านสุขภาพเป็นอย่างสูงโดยช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายและมีคุณสมบัติในการยับยั้งเซลมะเร็ง และมีฤทธิในการยับยั้งเชื้อHIVที่ก่อให้เกิดโรคAIDSได้อีกด้วย จากคุณสมบัติดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นส่งผลให้มังคุดเป็นผลไม้ที่มากคุณค่าสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ครบทุกส่วนทั้งในแง่ของอาหารเพื่อสุขภาพและในด้านผลิตภัณฑ์เพื่อความงามสำหรับผิวหนัง

มังคุด เอกลักษณ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มังคุดมีฉายาในแถบเอเชียด้วยความภาคภูมิใจในผลไม้ชนิดนี้ว่า “ราชินีแห่งผลไม้, the queen of fruits”มีฉายาในแถบ French Caribbean ว่า “อาหารของพระเจ้า” “the food of the Gods” คนไทยรู้จักมังคุดเป็นอย่างดี รู้ว่ามังคุดเป็นยาเย็นหรือตามการแพทย์จีนเรียกว่ามีฤทธิ์ “ยิน” หลังจากกินทุเรียนที่มีรสร้อน หรือมีฤทธิ์เป็น “หยาง” แล้วต้องกินมังคุดตาม เพื่อทำให้ร่างกายเกิดความสมดุลที่สำคัญคือ มังคุดเป็นผลไม้อร่อยมาก มีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม เป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญของไทยไปยังต่างประเทศแหล่งกำเนิดของมังคุดคาดว่าเป็นแถบหมู่เกาะมลายูและประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปัจจุบันยังพบมังคุดเป็นพืชในป่าธรรมชาติในประเทศมาเลเซียและหมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งพบ “มังคุดป่า” หรือ “มะแปม” (Garcinia costata Hemsl.) บริเวณป่ารอยต่อ ๕ จังหวัดภาคตะวันออก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนยด้วยความอร่อยของมังคุดจึงได้มีความพยายามที่จะนำมังคุดไปปลูกในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จนัก เช่น มีการนำเข้าไปปลูกในประเทศศรีลังกา ปี พ.ศ. ๒๓๔๓ ในประเทศอินเดียตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๔๔ ในรัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ และได้นำไปปลูกในเรือนกระจกในสวนพฤกษศาสตร์คิวของประเทศอังกฤษระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๓-๒๔๐๓ และผลมังคุดผลแรกของสวนคิวออกในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ และยังมีการนำไปทดลองปลูกในหมู่เกาะแถบทะเลแคริบเบียน เช่น ปานามา เพอร์โทริโก โดมินิกา คิวบา ซึ่งได้ผลผลิตไม่ดีเช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาซึ่ง The United States Department of Agriculture ได้รับเมล็ดมังคุดจากประเทศจาวา ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้พยายามขยายพันธุ์ทดลองปลูกในเขตร้อนของประเทศสหรัฐอเมริการวมไปถึงฮาวาย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเช่นกันดังนั้น มังคุดจึงยังคงเจริญเติบโตได้ดีในแถบแหลมมลายูและชวา พม่า ไทย ประเทศในกลุ่มอินโดจีน สำหรับประเทศไทยนับว่าเป็นสวรรค์ของคนชอบมังคุด เพราะมังคุดไทยรสชาติดี เนื้อมากเมล็ดเล็ก เปลือกบาง ในประเทศอื่นมักจะมีเปลือกหนา รสชาติเปรี้ยวจัดกว่าของไทย ประเทศไทยมีแหล่งเพาะปลูกมังคุด ๓ แหล่งใหญ่ๆ คือ ภาคตะวันออก ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ตราด ปราจีนบุรี ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป และภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี
ลักษณะทางวนวัฒนวิทยามังคุดเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ ทรงต้นแบบกรวยคว่ำหรือทรงพีระมิด เป็นพุ่มทึบ สูง ๑๐-๑๒ เมตร เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่อาจสูงถึง ๓๐ เมตร ทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบเดี่ยวออกตรงข้ามใบ เป็นรูปใบพาย รูปไข่หรือรูปวงรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม ใบคล้ายใบชมพู่ม่าเหมี่ยว หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมันท้องใบสีอ่อนกว่า เนื้อใบค่อนข้างหนาและค่อนข้างเหนียว ใบมีขนาดใหญ่ยาว กว้าง ๖-๑๑ เซนติเมตร ยาว ๑๕-๒๕ เซนติเมตร ดอก มี ๒ ชนิดคือดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้จะออกที่ปลายกิ่งเป็นกระจุก ๓-๙ ดอก ดอกสมบูรณ์เพศออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือ ๒ ดอก ที่บริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบรองกลีบดอกสีเขียว แข็งเหนียวจะคงอยู่และขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเป็นผล กลีบดอกสีชมพูแดงผล ค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓.๕-๗.๐ เซนติเมตร สีเขียวอมขาว เมื่อแก่จะเริ่มมีลายสีแดงๆ หรือม่วงแดง ชาวสวนเรียกลายนี้ว่า “สายเลือด” จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงจนถึงม่วงดำภายใน ๒-๕ วัน เปลือกผลหนาค่อนข้างแข็ง ผลเกลี้ยงกลม มีสีม่วงหนาประมาณ๐.๘-๑ เซนติเมตรบริเวณเปลือกจะมีท่อน้ำยางซึ่งเป็นสารพวกแทนนินมีรสขมฝาด ซึ่งเป็นตัวช่วยลดการทำลายของแมลงได้ทางหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งแมลงวันทองไม่สามารถเจาะเข้าไปทำลายได้ ในหนึ่งผลมีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด นอกนั้นเป็นเมล็ดที่ไม่เจริญ เมล็ดมีรกสีขาวหุ้ม สีขาวนี้คือส่วนเนื้อที่ใช้กิน มีรสหวานอมเปรี้ยวการเพาะปลูกใช้เมล็ดเพาะปลูก เมล็ดควรมีขนาดใหญ่ สดและใหม่ ไม่ควรแกะเมล็ดจากผลทิ้งไว้เพราะจะทำให้เมล็ดงอกช้าหรือไม่งอกเลย ก่อนเพาะควรล้างเนื้อออกจากเมล็ดเสียก่อนเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา ควรเพาะในที่ร่ม มีความชื้นสูง ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมล็ดจะงอกภายใน ๓-๔ สัปดาห์ เมื่อมังคุดมีใบแล้ว ๒ ใบ ควรแยกใส่ถุงเพาะชำถุงละ ๑ ต้น หลังจากชำไว้ ๑ ปี ควรเปลี่ยนถุงเพาะชำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ปีที่ ๒ ต้นมังคุดจะแตกกิ่งข้าง เมื่อมีอายุครบ ๒ ปี ก็เริ่มนำลงปลูกในแปลงได้ มังคุดเป็นพืชคายน้ำ พื้นที่ที่ปลูกต้องเป็นที่ที่มีความชื้นสูง ชอบอากาศร้อน เป็นพืชที่ต้องการน้ำตลอดปี ยกเว้นช่วงก่อนออกดอกประมาณ ๑ เดือน ดินต้องมีหน้าดินลึก มีอินทรียวัตถุสูง และระบายน้ำได้ดี

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ผลใช้เป็นอาหารผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยวหอมอร่อย กินเป็นผลไม้ นอกจากจะกินเป็นผลสุกแล้ว ทางภาคใต้ของประเทศไทยยังนิยมกินมังคุดในลักษณะ “มังคุดคัด” โดยนำมังคุดดิบที่แก่จัดแต่ยังไม่สุก กล่าวคือเริ่มเห็นสายเลือด มางัดเปลือกออก โดยให้เนื้อและเมล็ดคงรูปเดิม ไม่แตกกระจายออกจากกัน แล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด นำไปแช่น้ำเกลือที่มีความเค็มอ่อนๆ ทิ้งไว้ให้น้ำเกลือดูดซึมเข้าไปในเนื้อจนทั่ว แล้วใช้ไม้เสียบเรียงเป็นตับๆ แต่ละชุดมีเนื้อมังคุดเรียง ๕-๗ ผล มีความพยามที่จะทำมังคุดกระป๋องแต่ไม่อร่อยเนื่องจากเกิดการสูญเสียกลิ่นของมังคุดไปในกระบวนการฆ่าเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพาสเจอไรซ์นาน ๑๐ นาที จากการทดสอบพบว่าวิธีทำมังคุดกระป๋องที่ดีที่สุดคือ การแช่ในน้ำเชื่อมเข้มข้นร้อยละ ๔๐ ถ้าการฆ่าเชื้อแบบสเตอริไลซ์นาน ๕ นาที ซึ่งมังคุดที่มีรสเปรี้ยวเหมาะที่จะทำมังคุดกระป๋องมากกว่า ในประเทศมาเลเซียมีการทำแยมมังคุดจากการนำเนื้อมังคุดที่ไม่มีเมล็ดมาต้มกับน้ำตาลในปริมาณที่เท่าๆ กัน เติมกานพลูไปเล็กน้อย ต้มนาน ๑๕-๒๐ นาที แล้วจึงนำมาเก็บไว้ในขวดแก้ว ในประเทศฟิลิปปินส์ มีวิธีเก็บมังคุดไว้กินนานๆ ง่ายๆ คือนำทั้งเนื้อและเมล็ดไปต้มในน้ำตาลทรายแดง บางประเทศมีการนำเมล็ดของมังคุดมาต้มหรือคั่วกินเป็นของว่าง ส่วนเปลือกของมังคุดมีสารที่เรียกว่า เพกทิน (pectin) สูงมาก หลังที่ไปกำจัดสารฝาดด้วยน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นร้อยละ ๖ แล้ว จะได้เจลลี่สีม่วง มีคุณสมบัติเหมือนเจลลี่ทั่วๆ ไป สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่มีในเนื้อมังคุดในส่วนที่กินได้ ๑๐๐ กรัม ประกอบด้วย
คุณค่าทางอาหาร/สารอาหาร ปริมาณใน ๑๐๐ กรัม

พลังงานความชื้นโปรตีนไขมันคาร์โบไฮเดรตใยอาหารเถ้าแคลเซียมฟอสฟอรัสเหล็กวิตามินบี ๑วิตามินบี ๒ไนอาซิน
*ที่มา กองโภชนาการ กรมอนามัย พ.ศ. ๒๕๓๕

การใช้ประโยชน์อื่นๆ ในประเทศกานา มีการใช้กิ่งเล็กของมังคุดเคี้ยวเล่นดับกลิ่นปาก เหมือนเคี้ยวหมากฝรั่ง ในประเทศจีนใช้เปลือกมังคุดไปย้อมหนังให้เป็นสีดำจากการที่เปลือกมังคุดมีสารแทนนิน(tannin) คาเทชิน (catechin) และโรซิน (rosin) อยู่ถึงร้อยละ ๗-๑๔ ในประเทศไทยใช้เนื้อไม้ของมังคุดซึ่งมีสีน้ำตาลแก่ หนัก จมน้ำ มีความทนทานปานกลาง นำเผาเป็นถ่านไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิง ใช้ในงานฝีมือ ใช้เป็นที่นวดข้าว หรือในงานก่อสร้างการใช้ประโยชน์ทางยาและวิธีใช้พื้นบ้านส่วนใหญ่แล้วจะใช้เปลือกผลที่สุกแล้วของมังคุดเป็นยา นิยมตากแห้งเก็บไว้ใช้ แต่ส่วนอื่นๆ ของมังคุดก็สามารถนำมาใช้เป็นยาได้เช่นเดียวกันประเทศไทย ยาไทยส่วนใหญ่ใช้เปลือกผลมังคุดแก้ท้องเสีย แก้บิด และรักษาแผล แก้ท้องเสีย โดยใช้เปลือกผลตากแห้ง ๑/๒-๑ ผล ต้มกับน้ำปูนใสดื่มแต่น้ำ แก้บิด ใช้เปลือกผลแห้ง ๑/๒ ผล ย่างไฟให้เกรียมฝนกับน้ำปูนใส ๑/๒ แก้ว ดื่มครั้งเดียวหรือใช้ผง ๑ ช้อนชา ละลายน้ำข้าวหรือน้ำสุก ดื่มทุก ๔ ชั่วโมง (ขนาดที่ใช้ ๑/๒ ผล จะได้น้ำหนักของสารสกัดประมาณ ๑๑๖ +- ๗ มิลลิกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่เพียงพอในการรักษาโรคท้องร่วงเมื่อเทียบกับขนาดที่ใช้ในการต้านเชื้อแบคทีเรียในการทดลอง)

รักษาแผล เปลือกผลต้มน้ำใช้ชะล้างแผลที่เป็นหนอง เน่าเปื่อย หรือจะใช้เปลือกลำต้นตากแห้ง เปลือกผลดิบหรือเปลือกผลสุกมาฝนเป็นยาทาแผล ประเทศอื่นๆ มีการใช้มังคุดเป็นยารักษาโรคคล้ายคลึงกันกับที่มีการใช้ประเทศไทย เช่นประเทศอินโดนีเซีย ใช้เปลือกไม้กินแก้บิด นำใบแห้งมาต้มดื่มแก้ไข้ บรรเทาอาการปวดท้อง ประเทศจีน ได้นำเข้าเปลือกมังคุดแห้งแล้วนำไปบดเป็นผงใช้เป็นยาแก้บิด นำไปสกัดใส่ยาขี้ผึ้ง (ointment) ใช้ทาแก้ผื่นแพ้ (eczema) และปัญหาทางผิวหนังอื่นๆ

เปลือกผลใช้ต้มกินเพื่อรักษาอาการท้องร่วงและทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคโกโนเรีย นำเปลือกผลไปแช่น้ำค้างคืนหรือทำเป็นชาชงเพื่อรักษาอาการท้องเสียเรื้อรังทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ และใส่สารสกัดเปลือกผลผสมในโลชั่นด้วยต้องการฤทธิ์ฝาดสมาน ประเทศฟิลิปปินส์ ใช้ใบและเปลือกต้มน้ำเพื่อรักษาอาการท้องเสีย บิด ถ่ายพยาธิ และทางเดินปัสสาวะอักเสบ ทั้งยังเชื่อว่าการกินผลมังคุดจะควบคุมอาการไข้ประเทศมาเลเซีย

ใช้ใบมังคุดชงผสมกล้วยดิบและใส่เบนโซอินไปเล็กน้อยใช้ทาแผลที่ขริบ ใช้รากต้มดื่มเพื่อรักษาอาการประจำเดือนไม่ปกติ ใช้เปลือกแก้บิดโดยมีการสกัดสารจากเปลือกชื่อว่า "amibiasine" ขายในท้องตลาดเพื่อรักษาโรคบิดประเทศแถบทะเลแคริบเบียน รู้จักมังคุดในชื่อของ "eau de Creole " ซึ่งเป็นชาจากมังคุดมีฤทธิ์เป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง ชาวบราซิลดื่มชามังคุดด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน

ทั้งยังเชื่อว่าการกินมังคุดจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายเป็นปกติสมุนไพร..แห่งอนาคตจากกระแสการตื่นตัวนิยมใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติทั่วทั้งโลก

มังคุดเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จากการศึกษาวิจัยล่าสุดพบประโยชน์ของมังคุดมากมาย นอกเหนือไปจากฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในอดีตการพบสารในมังคุดที่เรียกว่า “แซนโทน (xanthones ซึ่งมีอยู่ถึง ๔๓ ชนิด เช่น mangostin, mangostenol, mangostenone A, mangostenone B, trapezifolixanthone, tovophyllin B, alpha- and beta-mangostins, garcinone B, mangostinone, mangostanol เป็นต้น) ซึ่งมีมากในเปลือกผลและเมล็ด และมีน้อยในเนื้อผล สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการต้านออกซิเดชั่น ต้านการอักเสบและมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ปัจจุบันมีการสั่งเปลือกมังคุดจากประเทศไทยไปสกัดสารดังกล่าวในประเทศต่างๆ เช่น นำเข้าไปในประเทศอินเดีย โดยโรงงาน Dhanvantari Botanicals เป็นโรงงานผลิตสารสกัดและสารบริสุทธิ์ ของบริษัท Renaissance Herbs ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ซื้อเปลือกมังคุดแห้งจากเมืองไทย ซื้อแต่ละครั้งประมาณ ๑๕ ตัน ในกิโลกรัมละ ๒.๕ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๐๐ บาท) จากโรงงานทำน้ำมังคุดหรือมังคุดกระป๋องในประเทศไทยหลังจากทำการสำรวจแล้วว่าเปลือกมังคุดของประเทศไทยให้สารแซนโทนสูง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากเปลือกมังคุดมากมายทั้งในรูปแบบของการกิน เป็นยาภายนอก เป็นเครื่องสำอาง จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงพอจะกล่าวได้ว่ามังคุดเป็นสมุนไพรแห่งอนาคตที่คนไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ก่อนอื่นจำเป็นต้องรู้องค์ประกอบทางเคมีของสารในส่วนต่างๆ ของมังคุดก่อนดังนี้ ลำต้น๑. แก่นไม้ ประกอบด้วยสารกลุ่มฟีนอลิกส์ (phenolics) ได้แก่ เตตราไฮดร็อกซีแซนโทน (1, 3, 6, 7-tetrahydroxyxanthone) เป็นต้น๒. เปลือกไม้ ประกอบด้วยสารกลุ่มแซนโทน ได้แก่ แมงโกสติน (mangostin), บีตา-แมงโกสติน (? - mangostin) ใบใบประกอบด้วยอนุพันธ์แซนโทนกลุ่ม isoprenylated xanthone ได้แก่ 1, 5, 8-tri-hydroxy-3-methoxy-2-(3-methyl-2-butenyl)-xanthone สารกลุ่มไทรเทอร์พีน (triterpenes) ได้แก่ 3?-hydroxy-26-nor-9, 19-cyclolanost-23-ene-25-one นอกจากนี้ ยังมีโปรตีนประมาณร้อยละ ๗.๘ แทนนิน ประมาณร้อยละ ๑๑.๒ และใยอาหาร ผลผลมีสารที่ให้กลิ่นหอมที่มี ๖ คาร์บอนอะตอม (C6) ที่สำคัญคือ hexyl acetate, cishex-3-enylacetate, cis-hex-3-en-1-ol๑. เปลือกผล ประกอบด้วยสารกลุ่มแซนโทน ที่สำคัญ ได้แก่ แมงโกสติน (mangostin) แกมมา-แมงโกสติน (?-mangostin) บีตา-แมงโกสติน (?-mangostin) เป็นต้น สารกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins) ซึ่งเป็นสารสีแดง มีปริมาณร้อยละ ๓๑.๒๙ ได้แก่ cyanidin-3-o-?-sophoroside, cyanidin-3-glucoside และมีแทนนิน ประมาณร้อยละ ๗-๑๔ ๒. ผลสุก ประกอบด้วยสารกลุ่มแซนโทน ได้แก่ การ์ทานิน (gartanin), 8-hydroxygartanin, นอร์แมงโกสติน (normangostin) ผลสุกบางส่วนพบแมงโกสติน และบีตา-แมงโกสติน เนื้อผลมีน้ำตาลและกรดอินทรีย์ต่างๆ เช่น กรดมาลิก กรดซิตริก เป็นต้น๓. เมล็ด มีน้ำมัน (oil) ประกอบด้วยกรดโอเลอิก (oleic acid) ร้อยละ ๕๖.๒ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) กรดคาพริก (capric acid) เป็นต้น

โรคและอาการที่มีแนวโน้มที่มังคุดจะเป็นประโยชน์จากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาการศึกษาในห้องทดลองพบว่าโรคและอาการที่มังคุดน่าจะนำมาใช้ประโยชน์มีดังต่อไปนี้โรคและอาการทางผิวหนัง เป็นที่รู้กันมาแต่โบราณตามที่กล่าวมาแล้วของต้นมังคุดว่าเป็นสมุนไพรที่ใช้ในโรคผิวหนังได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันมีการศึกษายืนยันการใช้ประโยชน์ในโรคนี้ จากการศึกษาพบว่า มังคุดมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้ออย่างกว้างขวาง

มีฤทธิ์ลดการอักสบ จึงควรที่จะนำมาพัฒนาเป็นยารักษาอาการ ผื่นแพ้ รักษาสิว ยาทาแผลฆ่าเชื้อที่ผิวหนัง จากการศึกษาพบว่ามังคุดมีคุณสมบัติ ดังนี้ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองสารสกัดจากเปลือกมังคุดต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (Staphylococcus aureus) ทั้งสายพันธุ์ปกติ และสายพันธุ์ที่ดื้อยาเพนิซิลลิน สารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ คือ แมงโกสตินและการ์ตานิน โดยแมงโกสตินจะแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแรงที่สุด โดยมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาแวนโคไมซิน (vancomycin)สารสกัดจากเปลือกมังคุดต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (Staphylococcus aureus) เทียบเท่ากับน้ำยาฆ่าเชื้อโพวิโดนไอโอดีน

รักษาแผลอักเสบและแผลเรื้อรังแมงโกสตินป้องกันการเกิดแผลอักเสบในหนูขาว และครีมสารสกัดจากเปลือกผลมังคุด (GM-1) สามารถรักษาแผลติดเชื้อเรื้อรังให้หายเป็นปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแผลในผู้ป่วยเบาหวาน
ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวสารสกัดเปลือกมังคุด มีฤทธิ์ต้านเชื้อที่ทำให้เกิดสิว Propionibacterium acnes และ Staphylococcus epidermidis ที่ดีมากชนิดหนึ่ง

บรรเทาอาการแพ้แกมมา- และ แอลฟา-แมงโกสติน จากเปลือกผลมังคุด บรรเทาอาการแพ้และมีประสิทธิภาพดีในการรักษาผู้ป่วยไข้ละออง โดยแกมมา-แมงโกสติน แสดงฤทธิ์ต้านฮิสตามีน และแอลฟา-แมงโกสติน แสดงฤทธิ์ต้านซีโรโทนิน เมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมแมสต์เซลล์ (mast cells) และเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิล จะหลั่งฮิสตามีนและซีโรโทนิน ทำให้เกิดอาการแดงเนื่องจาก หลอดเลือดขยายตัวบวมเนื่องจากเพิ่มการซึมผ่านของหลอดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อเรียบหดตัวและฮิสตามีนจะเพิ่มการหลั่งน้ำเมือกด้วย ซึ่งฮิสตามีนมักจะทำให้เกิดอาการแพ้หรือที่เรียกว่าไข้ละอองฟางป้องกันผิวจากแสงแดดผลิตภัณฑ์ป้องกันผิวจากแสงแดด (sunscreen) ที่ประกอบด้วยแมงโกสติน ร้อยละ ๒๐ สามารถป้องกันผิวจากแสงแดด และมีค่าดัชนีในการป้องกันแสงแดด (sun protective factor; SPF)

โรคและอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารสารสกัดจากเปลือกผลมังคุดต้านเชื้อแบคทีเรียกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงและกลุ่มเชื้อในลำไส้ (normal floras) ได้แก่ enteropathogenic Escherichia coli, Salmonella ๖ ชนิด, Shigella ๔ ชนิด, Vibrio ๒ ชนิด เชื้ออื่นในลำไส้ ๕ สกุล สารกลุ่มแซนโทนจากเปลือกผลมังคุด ยับยั้งเชื้อเฮลิโคแบกเทอร์ไพโลรี ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารส่วนบน ได้แก่ แผลเพ็ปติก กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ คือแกมมา-แมงโกสติน สารในเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ต้านอะมีบา ยาดองเปลือกผลมังคุดแห้ง เมื่อใช้ร่วมกับยาเอมิทีน (emitine) ให้ผลดีในการรักษาโรคบิดที่มีสาเหตุมาจากเชื้ออะมีบา และทำให้ใช้ขนาดของยาเอมิทีนน้อยลงกว่าเดิมโรคและอาการทางหัวใจและหลอดเลือดสารแซนโทนได้แสดงคุณสมบัติหลายประการที่มีแนวโน้มว่าเป็นประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด คุณสมบัติเหล่านั้นได้แก่ ฤทธิ์ในการต้านการออกซิเดชั่น ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือด ป้องกันหลอดเลือด คุณสมบัตินี้ป้องกันการเกิดออกซิเดชันของไขมัน กลุ่มสารที่ออกฤทธิ์คือ แอนโทไซยานิน แมงโกสติน แอลฟาและแกมมา-แมงโกสติน แกมมา-แมงโกสตินแสดงฤทธิ์แรงในการต้านออกซิเดชั่น

แมงโกสตินสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน โดยป้องกันการเกิดไขมันชนิดเลว (LDL)อาการอักเสบของกระดูกและกล้ามเนื้อแมงโกสตินและอนุพันธ์ของแมงโกสติน คือ 1-isomangostin และ mangostin triacetateลดการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูขาว เมื่อให้สารสกัดจากเปลือกผลมังคุดทางปากและฉีดเข้าช่องท้อง และสารสกัดจากเปลือกผลมังคุด (GM-1) แสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีเป็น 3 เท่าของแอสไพริน โดยไม่มีผลกดภูมิคุ้มกัน

และยังพบว่าสารสกัดของเปลือกมังคุดยับยั้งการหลั่งของฮิสตามีนและยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin E2) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อมีอาการอักเสบโรคมะเร็งนับว่ามังคุดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่น่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยมะเร็ง จากสารแซนโทนที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และนอกจากนี้ยังสารพวกคาเทชิน โพลีฟีนอล เกลือแร่ และวิตามิน ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย สารสกัดของมังคุดมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ทั้งยังมีฤทธิ์ต้านเนื้องอกโดยแสดงฤทธิ์ต้านเนื้องอกในหนูถีบจักร และต้านมะเร็งที่เกิดในเนื้อเยื่อ (sarcoma-180)สารกลุ่มแซนโทนจากเปลือกผลมังคุด ยับยั้งเอนไซม์โทโพไอโซเมอเรส I และ II ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในกระบวนการถ่ายแบบดีเอ็นเอ (DNA replication) เพื่อการดำรงชีพต่อไปของสิ่งมีชีวิต โดยเอนไซม์นี้จะคลายเกลียวซุปเปอร์คอล์ยของดีเอ็นเอเพื่อให้เอนไซม์ชนิดต่างๆ เข้ามาทำการถ่ายแบบต่อไป คุณสมบัติดังกล่าวอาจยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้สารโพลีแซคคาไรด์จากเปลือกมังคุด ที่ความเข้มข้น ๒๐ ไมโครลิตร/disc แสดงผลกระตุ้นการจับกินสิ่งแปลกปลอมของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์โรคเอชไอวีสารสกัดเมทานอล

และสารจากเปลือกผลมังคุด ยับยั้งเอนไซม์โพรทีเอส (HIV-1 pro-tease) ซึ่งจำเป็นต่อวงจรชีวิตของเชื้อเอชไอวี และสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุด ยับยั้งเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส (reverse transcriptase) การศึกษาความเป็นพิษพิษต่อตับเมื่อฉีดแมงโกสตินเข้าช่องท้องหนูขาว ขนาด ๒๐๐ มิลลิกัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม พบว่าปริมาณของเอนไซม์ทรานซามิเนสในเซลล์ตับ (SGOT และ SGPT) เพิ่มขึ้น และถึงระดับสูงสุดหลังจากฉีดแมงโกสติน ๑๒ ชั่วโมง เอนไซม์ทั้งสองนี้จะเพิ่มขึ้นตามขนาดของแมงโกสตินที่ให้และเมื่อให้แมงโกสตินทางปากแก่หนูขาว ขนาด ๑.๕ กรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม เปรียบเทียบกับยาพาราเซตามอล พบว่าพาราเซตามอลจะเพิ่มปริมาณของเอนไซม์ดังกล่าว มากกว่าแมงโกสตินปริมาณโปรตีนในตับหนูขาวที่ได้รับพาราเซตามอลจะลดลง ในขณะที่หนูขาวที่ได้แมงโกสตินไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนที่ตับแซนโทนจากเปลือกผลมังคุดที่ความเข้มข้น ๒๐๐ ไมโครกรัม/มิลลิลิตร แสดงฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ตับของหนูขาว โดยทำให้ผนังเซลล์สูญเสียความคงตัว ปริมาณของเอนไซม์ทรานซามิเนสเพิ่มขึ้น ระดับฮอร์โมน Glomerular stimulating hormone (GSH) ลดลง การเกิด MDA (malondialdehyde) และ aminopyrine demethylase activity ไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ พบว่าสารสกัดความเข้มข้น ๐.๐๒ ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีผลลดอัตราการหายใจของไมโตคอนเดรียเมื่อให้แซนโทน ขนาด ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม ทางปากแก่หนูขาว เป็นเวลา ๓, ๕ และ ๗ วัน ติดต่อกัน ไม่ปรากฏพิษต่อเซลล์ตับ ปริมาณของเอนไซม์ทรานซามิเนส, MDA และ aminopyrine demethylase ไม่เปลี่ยนแปลง แต่พบว่าระดับฮอร์โมน GSH เพิ่มขึ้นดังนั้น การกินมังคุดเป็นยาต้องให้อยู่ในขนาดที่เหมาะสม และยังคงต้องศึกษาหาขนาดที่เหมาะสมต่อไป

พิษระคายเคืองครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดจากเปลือกผลมังคุด (GM-1) ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ต่อผิวหนังยาทาแผลฆ่าเชื้อจากสารสกัดเปลือกมังคุด “การ์ซิดีน” ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้ต่อผิวหนัง
ผลิตภัณฑ์ที่มีการขายในท้องตลาดยาทาแผลฆ่าเชื้อการ์ซิดีนโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้พัฒนายาทาแผลฆ่าเชื้อ “การ์ซิดีน” จากสารสกัดเปลือกมังคุด ซึ่งการศึกษาวิจัยนี้ได้รับรางวัลผลงานวิชาการดีเด่น จากการประชุมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นยาจากสมุนไพรจากคณะกรรมการอาหารและยา “การ์ซิดีน” นับเป็นยาทาแผลฆ่าเชื้อจากสมุนไพรตัวแรกของเมืองไทยที่ได้รับทะเบียนยาจากคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย

ยาสีฟันการที่เปลือกมังคุดมีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้เยื่อบุช่องปากมีความแข็งแรงขึ้น ซึ่งในอดีตใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดอมบ้วนปากเพื่อรักษาอาการแผลในปาก ทั้งยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อได้หลายชนิด โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจึงได้พัฒนายาสีฟันผสมเปลือกมังคุดขึ้น โดยผสมใบพลูและใบฝรั่งลงไปด้วย
สบู่ การที่มังคุดมีสารฝาดสมานทำให้ผิวหนังแข็งแรง มีสารต้านออกซิเดชั่น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านฮิสตามีน ทำให้สบู่ที่ผสมเปลือกมังคุดได้รับความนิยมใช้อย่างกว้างขวาง ที่มีรูปแบบทั้งสบู่เหลวและสบู่ก้อน ในประเทศญี่ปุ่นมีการทำสบู่เปลือกมังคุดไปจำหน่ายอย่างกว้างขวางสบู่มังคุดมีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นกาย สมานผิว กระชับรูขุมขน ครีม โลชั่นที่ใช้สปามีการนำเปลือกมังคุดไปผสมในผลิตภัณฑ์สปา เช่น ครีมพอกตัว โลชั่น เกลือขัดผิว น้ำมังคุดและ

แคปซูลมังคุดปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากมังคุดและแคปซูลมังคุดจำหน่ายในตลาดโลก โดยอ้างสรรพคุณดังนี้ คือ ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการยืดหยุ่นของข้อเข่า ทำให้สมองแจ่มใส ลดอาการภูมิแพ้ ลดอาการข้ออักเสบ ป้องกันมะเร็งน้ำมังคุด ในรูปแบบของน้ำมังคุด จะบรรจุในขวด ๗๕๐ มิลลิลิตร ซึ่งประกอบด้วย น้ำมังคุดเข้มข้นร้อยละ ๗๕ และน้ำผลไม้อื่นๆ ร้อยละ ๒๕ เช่น บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ องุ่น เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ลูกแพร์และแอปเปิล การที่ต้องผสมผลไม้อื่นๆลงไปด้วย เนื่องจากน้ำมังคุดเข้มข้นนั้นจะมีส่วนของเปลือกและเมล็ดด้วยซึ่งมีปริมาณของแซนโทนสูง แต่ทำให้มีรสขม น้ำผลไม้ที่ใส่ลงไปเพื่อกลบรสและเสริมฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นแคปซูลมังคุด ในรูปแบบของแคปซูลมังคุด จะบดผลมังคุดแห้งทั้งผล บรรจุในแคปซูลขนาด ๕๐๐ มิลลิกรัม ดังตัวอย่าง ซึ่งเป็นผลมังคุดจากประเทศไทยมังคุด ผลไม้ไทย สมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่คนไทยภาคภูมิใจ
โดย : ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น